เมืองอัจฉริยะไทย ก้าวข้ามสู่ชีวิตที่เหนือกว่า ไม่รู้เคล็ดลับนี้ถือว่าพลาด

webmaster

A professional wide-angle shot of a futuristic Thai cityscape at dusk, highlighting advanced digital infrastructure. Sleek, modern high-rise buildings with integrated smart technology are visible, featuring subtle glowing data lines connecting structures and smart streetlights illuminating the roads. Public digital information displays show real-time urban data. In the foreground, a diverse group of fully clothed people, dressed in professional and modest contemporary Thai attire, are seen moving through the bustling scene. The atmosphere is vibrant and efficient, showcasing a technologically advanced urban environment. Professional photography, high resolution, intricate details, perfect anatomy, correct proportions, natural pose, well-formed hands, proper finger count, natural body proportions, safe for work, appropriate content, fully clothed, professional, family-friendly.

ในฐานะคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ของประเทศไทย ผมเชื่อว่าหลายคนคงสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัวเราใช่ไหมครับ? ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสะดวกสบายในการเดินทาง หรือแม้กระทั่งคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในบางมิติ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือผลลัพธ์ของการขับเคลื่อนไปสู่ ‘เมืองอัจฉริยะ’ ที่ประเทศไทยกำลังให้ความสำคัญอย่างมากในยุคดิจิทัล การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะข้อมูลและ IoT เข้ามาประยุกต์ใช้ กำลังเป็นรากฐานสำคัญในการบริหารจัดการเมืองให้มีประสิทธิภาพสูงสุด จากการลดปัญหาจราจรติดขัด ไปจนถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืนและปลอดภัย นี่คืออนาคตที่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด หากคุณเองก็สงสัยว่าเบื้องหลังความก้าวหน้าเหล่านี้มีอะไรซ่อนอยู่ และอนาคตเมืองไทยในฐานะเมืองอัจฉริยะจะเป็นอย่างไรต่อไป มาดูข้อมูลที่ถูกต้องและครอบคลุมกันได้เลยครับ!

ในฐานะคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ของประเทศไทย ผมเชื่อว่าหลายคนคงสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัวเราใช่ไหมครับ? ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสะดวกสบายในการเดินทาง หรือแม้กระทั่งคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในบางมิติ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือผลลัพธ์ของการขับเคลื่อนไปสู่ ‘เมืองอัจฉริยะ’ ที่ประเทศไทยกำลังให้ความสำคัญอย่างมากในยุคดิจิทัล การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะข้อมูลและ IoT เข้ามาประยุกต์ใช้ กำลังเป็นรากฐานสำคัญในการบริหารจัดการเมืองให้มีประสิทธิภาพสูงสุด จากการลดปัญหาจราจรติดขัด ไปจนถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืนและปลอดภัย นี่คืออนาคตที่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด หากคุณเองก็สงสัยว่าเบื้องหลังความก้าวหน้าเหล่านี้มีอะไรซ่อนอยู่ และอนาคตเมืองไทยในฐานะเมืองอัจฉริยะจะเป็นอย่างไรต่อไป มาดูข้อมูลที่ถูกต้องและครอบคลุมกันได้เลยครับ!

จากแนวคิดสู่การลงมือทำ: วิสัยทัศน์เมืองอัจฉริยะของไทย

องอ - 이미지 1
สำหรับผมแล้ว การพูดถึง “เมืองอัจฉริยะ” ไม่ใช่แค่คำสวยหรูในตำรา แต่มันคือการเปลี่ยนแปลงที่สัมผัสได้ในชีวิตประจำวันจริงๆ ครับ ตอนแรกก็คิดว่ามันไกลตัว แต่พอได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ พื้นที่ ทั้งในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ หรือภูเก็ต ก็เริ่มเข้าใจว่ามันคือวิสัยทัศน์ที่กำลังก่อร่างสร้างตัวอย่างเป็นรูปธรรมเลยนะ ประเทศไทยไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็นฐานการผลิต แต่เรากำลังก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมในภูมิภาค ซึ่งเมืองอัจฉริยะคือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเรื่องนี้เลยครับ รัฐบาลเองก็มีนโยบาย Thailand 4.0 ที่ชัดเจนในการผลักดันให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจของประเทศ พอมาลองใช้ชีวิตจริงในเมืองที่เริ่มมีระบบเหล่านี้ ผมรู้สึกว่ามันช่วยลดความหงุดหงิดจากการต้องเจอเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ อย่างปัญหารถติด หรือการจัดการขยะที่ไม่มีประสิทธิภาพ คือมันไม่ใช่แค่การนำเทคโนโลยีมาใช้แบบฉาบฉวย แต่มันคือการออกแบบระบบนิเวศของเมืองใหม่ทั้งหมด เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของคนในยุคดิจิทัล และที่สำคัญคือต้องมีความยั่งยืนในระยะยาวด้วยครับ

1. ปรัชญาการพัฒนาเมืองที่มุ่งเน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง

แนวคิดของเมืองอัจฉริยะในประเทศไทยนั้น ไม่ได้มุ่งเน้นแค่การนำเทคโนโลยีมาวางไว้เฉยๆ แต่กลับให้ความสำคัญกับ “คน” เป็นอันดับแรกเลยครับ นั่นหมายความว่าทุกโครงการ ทุกการลงทุน ต้องตอบโจทย์และแก้ปัญหาให้กับผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้นๆ ได้จริง ผมเคยได้ยินมาว่าการออกแบบเมืองอัจฉริยะที่ดี ต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจปัญหาและความต้องการของชุมชนก่อน ไม่ใช่แค่เอาเทคโนโลยีสุดล้ำเข้ามาแล้วหวังว่ามันจะแก้ได้ทุกอย่างเอง การรับฟังเสียงจากภาคประชาชนเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะการมีส่วนร่วมจะทำให้โครงการต่างๆ มีความยั่งยืน และตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานจริงมากขึ้น อย่างโครงการเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศในหลายๆ เมือง ที่ทำให้คนได้รับข้อมูลแบบเรียลไทม์และสามารถวางแผนการใช้ชีวิตได้ดีขึ้น อันนี้คือตัวอย่างที่ชัดเจนมากว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อประโยชน์ของคนในเมืองนั้นมันเป็นยังไง

2. กฎหมายและนโยบายภาครัฐที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ

แน่นอนว่าการจะขับเคลื่อนโครงการใหญ่ระดับประเทศอย่างเมืองอัจฉริยะให้เกิดขึ้นได้จริง มันต้องมีโครงสร้างและกรอบการทำงานที่แข็งแกร่งมารองรับครับ รัฐบาลไทยเองก็ตระหนักถึงเรื่องนี้ดี จึงได้มีการออกกฎหมาย นโยบาย และแผนแม่บทต่างๆ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะอย่างต่อเนื่อง เช่น แผนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะของสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) รวมถึงการตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนและคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ผมมองว่าการมีกรอบที่ชัดเจนแบบนี้ ช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ใช่แค่ต่างคนต่างทำ และยังช่วยดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยเข้ามาช่วยพัฒนาเมืองของเราให้ก้าวหน้าไปอีกขั้นได้อย่างรวดเร็ว

เจาะลึกองค์ประกอบ: เสาหลักสำคัญที่ขับเคลื่อนเมืองสู่ความอัจฉริยะ

การสร้างเมืองอัจฉริยะไม่ใช่แค่การติดกล้องวงจรปิดเยอะๆ หรือมี Wi-Fi ฟรีทุกที่นะครับ มันซับซ้อนกว่านั้นมาก และต้องประกอบด้วยเสาหลักหลายประการที่ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ เคยลองคิดดูไหมว่าทำไมบางเมืองถึงดูจัดการอะไรๆ ได้ง่ายกว่า?

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขามีการวางรากฐานที่แข็งแกร่ง ผมได้มีโอกาสไปดูงานที่หลายๆ เมืองที่กำลังพัฒนาเรื่องนี้ และพบว่าทุกแห่งล้วนให้ความสำคัญกับแกนหลักเหล่านี้ครับ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่ง การบริหารจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ หรือแม้กระทั่งการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในเมืองให้ดีขึ้นในทุกมิติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีและข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ Big Data ที่ไหลเวียนอยู่ในระบบและถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อการตัดสินใจที่ดีที่สุด

1. โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ทันสมัยและครอบคลุม

หัวใจหลักของการเป็นเมืองอัจฉริยะที่แท้จริงคือ ‘โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล’ ที่แข็งแกร่งครับ เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงทุกภาคส่วนของเมือง ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ระบบเซ็นเซอร์ IoT ที่กระจายอยู่ทั่วเมือง หรือแม้กระทั่งศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่ใช้จัดเก็บและประมวลผลข้อมูลมหาศาล ผมเคยเจอกับสถานการณ์ที่ระบบอินเทอร์เน็ตล่มในวันสำคัญ แล้วรู้สึกเลยว่ามันกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันมากแค่ไหน ยิ่งเป็นเมืองอัจฉริยะที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกันหมด ความเสถียรของโครงสร้างพื้นฐานยิ่งสำคัญเป็นทวีคูณ การลงทุนในเรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่การซื้ออุปกรณ์ใหม่ๆ แต่คือการสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับการพัฒนาในอนาคตครับ รวมถึงการมีแพลตฟอร์มกลางสำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

2. การบริหารจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

อีกหนึ่งเรื่องที่ผมให้ความสำคัญมากๆ ในฐานะคนกรุงที่ต้องเจอกับมลพิษและค่าไฟที่พุ่งขึ้นตลอด คือเรื่องของการบริหารจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อมครับ เมืองอัจฉริยะที่ดีจะต้องสามารถใช้พลังงานได้อย่างคุ้มค่า ลดการปล่อยมลพิษ และรักษาสมดุลทางธรรมชาติให้ได้มากที่สุด อย่างเช่น ระบบไฟถนนอัจฉริยะที่ปรับความสว่างตามสภาพการจราจร หรือระบบเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ที่ช่วยให้เราตระหนักถึงปัญหามลพิษได้เร็วขึ้น ผมรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่ทำให้เมืองดูทันสมัย แต่ยังช่วยให้คุณภาพชีวิตของเราดีขึ้นจริงๆ ลดความเสี่ยงจากปัญหาสุขภาพ และสร้างเมืองที่เราอยากจะอยู่ไปนานๆ ได้อย่างยั่งยืน ถือเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของพวกเราทุกคนเลยก็ว่าได้

พลิกโฉมการใช้ชีวิต: บทบาทของข้อมูลและเทคโนโลยี IoT ในการพัฒนาเมือง

คุณเคยสงสัยไหมว่า ข้อมูลที่เราสร้างขึ้นในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง การซื้อของ หรือแม้แต่การใช้สมาร์ทโฟน มันถูกนำไปใช้อะไรบ้าง? ในบริบทของเมืองอัจฉริยะ ข้อมูลเหล่านี้คือขุมทรัพย์มหาศาลครับ และ IoT หรือ Internet of Things ก็คือแขนขาที่คอยรวบรวมข้อมูลเหล่านั้นจากทุกซอกทุกมุมของเมือง ประมวลผล และส่งกลับมาให้ระบบนำไปวิเคราะห์เพื่อการตัดสินใจที่แม่นยำขึ้น ผมเองเป็นคนที่ชอบสังเกตการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ในเมือง ก็พบว่าสิ่งที่เราเห็นในชีวิตประจำวันหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการจัดการจราจรที่ไหลลื่นขึ้น การเก็บขยะที่มีประสิทธิภาพ หรือแม้กระทั่งการแจ้งเตือนสาธารณะต่างๆ ล้วนแล้วแต่มีเบื้องหลังเป็นการทำงานของข้อมูลและเทคโนโลยี IoT ทั้งสิ้น

1. การจัดการจราจรและขนส่งอัจฉริยะที่ลดความปวดหัว

ในฐานะคนที่ต้องเดินทางในกรุงเทพฯ ทุกวัน ปัญหารถติดเป็นอะไรที่ฝังใจมากครับ แต่พอมีระบบจราจรอัจฉริยะที่ใช้ข้อมูลจากเซ็นเซอร์และกล้องวงจรปิดมารวบรวมและวิเคราะห์เพื่อปรับสัญญาณไฟจราจรให้เหมาะสม หรือแม้กระทั่งแอปลิเคชันที่ช่วยนำทางและบอกเส้นทางเลี่ยงรถติด มันช่วยชีวิตผมได้เยอะเลยนะ ผมจำได้ว่าเคยติดอยู่กลางสี่แยกนานเป็นชั่วโมง พอมีการนำ AI และ Big Data มาช่วยจัดการ สังเกตได้ว่าการจราจรไหลลื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้จะยังไม่สมบูรณ์ 100% แต่ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะมากครับ นอกจากนี้ยังรวมถึงการพัฒนาขนส่งสาธารณะให้เชื่อมโยงกันอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ระบบ E-ticketing หรือการแจ้งเตือนเวลารถมาถึงแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยให้เราวางแผนการเดินทางได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ประหยัดเวลาและพลังงานไปได้มากเลยทีเดียว

2. เพิ่มความปลอดภัยและสุขภาวะด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ

เรื่องความปลอดภัยและสุขภาวะเป็นอีกมิติที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญมากครับ ผมรู้สึกอุ่นใจขึ้นเยอะเลยเวลาอยู่ในเมืองที่มีระบบกล้องวงจรปิดอัจฉริยะที่สามารถตรวจจับความผิดปกติได้แบบเรียลไทม์ และแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ได้อย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่เซ็นเซอร์ที่ใช้ตรวจวัดคุณภาพน้ำในแม่น้ำลำคลอง หรือการตรวจสอบปริมาณฝุ่น PM2.5 ที่เป็นปัญหาใหญ่ในหลายเมืองของไทย ข้อมูลเหล่านี้ทำให้เราตระหนักถึงภัยคุกคามที่มองไม่เห็น และสามารถป้องกันหรือรับมือได้อย่างทันท่วงที ผมเองก็พยายามเช็คค่าฝุ่นทุกเช้าก่อนออกจากบ้าน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เมืองเริ่มมีระบบเซ็นเซอร์เหล่านี้ที่ให้ข้อมูลที่เข้าถึงได้ง่ายและแม่นยำ ช่วยให้เราดูแลสุขภาพตัวเองและคนในครอบครัวได้ดีขึ้นครับ

ก้าวข้ามอุปสรรค: ความท้าทายและโอกาสในการสร้างเมืองอัจฉริยะอย่างยั่งยืน

การเดินทางสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะที่สมบูรณ์แบบนั้น ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไปครับ ผมเองก็เห็นทั้งความก้าวหน้าและความท้าทายที่รออยู่เบื้องหน้า บางครั้งโครงการดีๆ ก็ไปต่อไม่ได้เพราะติดปัญหาเรื่องงบประมาณ หรือการบูรณาการข้อมูลที่ไม่เป็นระบบ แต่ผมก็เชื่อว่าทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ เหมือนตอนที่เราเจอปัญหาใหญ่ๆ แล้วต้องระดมสมองเพื่อหาทางออกใหม่ๆ ในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะก็เช่นกันครับ การเรียนรู้จากความผิดพลาดและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง จะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น และสามารถก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านี้ไปได้อย่างแน่นอน

1. การบูรณาการข้อมูลและความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน

ปัญหาโลกแตกอย่างหนึ่งของการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในบ้านเราคือเรื่องของการบูรณาการข้อมูลครับ แต่ละหน่วยงานต่างคนต่างเก็บข้อมูลของตัวเอง ทำให้การนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ร่วมกันเป็นเรื่องที่ยากมาก ผมเคยได้ยินเรื่องการสร้างแพลตฟอร์มกลางสำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูล แต่ในทางปฏิบัติยังคงมีข้อจำกัดหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมาตรฐานข้อมูล ความเป็นส่วนตัว หรือแม้แต่ความไม่เข้าใจในการทำงานร่วมกัน สิ่งเหล่านี้เป็นความท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง หากเราต้องการให้เมืองอัจฉริยะของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โอกาสอยู่ที่การสร้างความเข้าใจร่วมกัน และการมีผู้นำที่กล้าที่จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเรื่องการแชร์และใช้ข้อมูลร่วมกันอย่างมีธรรมาภิบาล

2. การลงทุนที่ต้องสอดคล้องกับความยั่งยืน

การลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อสร้างเมืองอัจฉริยะนั้นใช้เงินมหาศาลครับ และต้องเป็นการลงทุนที่มองเห็นผลในระยะยาว ไม่ใช่แค่ซื้อของแพงๆ มาติดตั้งแล้วจบ ผมเห็นมาเยอะแล้วครับโครงการที่ใช้งบประมาณไปเยอะ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้งานเต็มประสิทธิภาพ หรือไม่สามารถบำรุงรักษาได้ในระยะยาว สิ่งสำคัญคือการเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทของเมืองนั้นๆ และต้องสามารถต่อยอดหรือปรับเปลี่ยนได้ในอนาคต โอกาสอยู่ที่การมองหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลาย ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงการสร้างโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืน เพื่อให้เมืองสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว ไม่ใช่แค่พึ่งพางบประมาณจากรัฐบาลเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ การพิจารณาความคุ้มค่าของการลงทุนในระยะยาว ทั้งในแง่ของผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลยครับ

ประสบการณ์ตรงจากพื้นที่: กรณีศึกษาและความสำเร็จในประเทศไทย

การพูดถึงเมืองอัจฉริยะอาจดูเป็นนามธรรม แต่ในประเทศไทยของเราก็มีหลายเมืองที่เริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมแล้วนะครับ ผมรู้สึกภูมิใจมากที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ในพื้นที่จริง บางทีเราอาจจะเคยไปเที่ยวหรือใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเหล่านี้โดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังอยู่ในสภาพแวดล้อมของเมืองอัจฉริยะ อย่างเช่นที่ภูเก็ตหรือเชียงใหม่ ซึ่งเป็นต้นแบบในการนำเทคโนโลยีมาใช้แก้ปัญหาและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนอย่างจริงจัง

1. ภูเก็ต: ต้นแบบการท่องเที่ยวอัจฉริยะและเมืองน่าอยู่

ภูเก็ตเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากของเมืองอัจฉริยะที่มุ่งเน้นการท่องเที่ยวครับ ในฐานะนักเดินทาง ผมสัมผัสได้ถึงความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นระบบการจองที่พักและขนส่งที่เชื่อมโยงกัน การติดตามข้อมูลนักท่องเที่ยวเพื่อบริหารจัดการความปลอดภัย หรือแม้กระทั่งแอปพลิเคชันที่ช่วยให้นักท่องเที่ยวเข้าถึงข้อมูลและบริการต่างๆ ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ภูเก็ตยังให้ความสำคัญกับการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงาน เช่น การส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด และการบริหารจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้การท่องเที่ยวคึกคักขึ้น แต่ยังช่วยให้คุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ผมรู้สึกว่าภูเก็ตกำลังก้าวไปสู่การเป็นเมืองที่ไม่ใช่แค่จุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว แต่เป็นเมืองที่คนอยากจะมาใช้ชีวิตอยู่จริงๆ

2. เชียงใหม่: เมืองแห่งวัฒนธรรมกับการนำเทคโนโลยีมาผสมผสาน

เชียงใหม่เป็นอีกหนึ่งเมืองที่น่าจับตามองในเรื่องของเมืองอัจฉริยะครับ ที่นี่มีความท้าทายเฉพาะตัวเพราะเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ทางวัฒนธรรมสูง การจะนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้จึงต้องระมัดระวังไม่ให้กระทบกับวิถีชีวิตดั้งเดิม ผมได้เห็นโครงการหลายอย่างที่เชียงใหม่พยายามผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับบริบทของเมืองได้อย่างลงตัว เช่น การใช้ IoT ในการติดตามและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (PM2.5) ที่เป็นปัญหาสำคัญของภาคเหนือ หรือการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่ตอบโจทย์ทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว ซึ่งทั้งหมดนี้ทำโดยไม่ละทิ้งเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของเมือง การที่เชียงใหม่สามารถก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับการรักษาคุณค่าดั้งเดิมไว้ได้ ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่เมืองอื่นๆ สามารถนำไปปรับใช้ได้เลยครับ

มิติเมืองอัจฉริยะ (Smart City Pillars) ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ในประเทศไทย ประโยชน์ที่สัมผัสได้
Smart Environment (สิ่งแวดล้อม) ระบบเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศ (PM2.5) ในเชียงใหม่, การบริหารจัดการน้ำเสียในภูเก็ต สุขภาพดีขึ้น, เข้าถึงข้อมูลมลภาวะได้เรียลไทม์, ลดปัญหาน้ำเสีย
Smart Economy (เศรษฐกิจ) แพลตฟอร์มส่งเสริม SMEs ในเมืองต่างๆ, การท่องเที่ยวอัจฉริยะในภูเก็ต เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ, สร้างรายได้ให้ท้องถิ่น, ดึงดูดนักลงทุน
Smart Mobility (การเดินทาง) ระบบปรับสัญญาณไฟจราจรในกรุงเทพฯ, แอปพลิเคชันขนส่งสาธารณะอัจฉริยะ ลดปัญหารถติด, เดินทางสะดวกขึ้น, ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย
Smart Living (การใช้ชีวิต) ระบบเฝ้าระวังความปลอดภัยด้วยกล้อง CCTV อัจฉริยะ, ระบบสาธารณสุขทางไกล (Telemedicine) ยกระดับความปลอดภัย, เข้าถึงบริการสุขภาพได้ง่ายขึ้น, คุณภาพชีวิตดีขึ้น
Smart Governance (การบริหารภาครัฐ) แพลตฟอร์ม Open Data ของหน่วยงานรัฐ, การบริการภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) โปร่งใสขึ้น, ประชาชนเข้าถึงบริการได้สะดวก, ลดขั้นตอนการติดต่อราชการ
Smart Energy (พลังงาน) ระบบไฟถนนอัจฉริยะ, การส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์ในอาคาร ลดการใช้พลังงาน, ประหยัดค่าใช้จ่าย, เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
Smart People (พลเมือง) การพัฒนาทักษะดิจิทัลให้ประชาชน, การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน พลเมืองมีคุณภาพ, เข้าถึงเทคโนโลยี, มีส่วนร่วมในการพัฒนาเมือง

ชีวิตที่เปลี่ยนไป: เมื่อเมืองอัจฉริยะกลายเป็นความจริง

ผมบอกเลยว่าการที่เมืองของเราก้าวสู่ความอัจฉริยะ ไม่ได้หมายถึงแค่การมีเทคโนโลยีล้ำๆ มาประดับเมืองเท่านั้นนะครับ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตประจำวันของพวกเราทุกคนเลยจริงๆ ผมเองในฐานะคนที่ใช้ชีวิตและทำงานอยู่ในเมืองใหญ่มานาน รู้สึกได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนในหลายๆ มิติ บางเรื่องอาจจะเล็กน้อยจนเรามองข้ามไป แต่เมื่อสะสมกันเข้า มันก็สร้างความสะดวกสบายและความสุขในการใช้ชีวิตได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียวครับ ลองนึกภาพการใช้ชีวิตในเมืองที่ทุกอย่างไหลลื่น ปลอดภัย และตอบโจทย์ความต้องการของเราได้อย่างรวดเร็ว มันไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปแล้ว

1. ความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้นในทุกมิติของชีวิตประจำวัน

ลองจินตนาการถึงเช้าวันจันทร์ที่การจราจรไม่ติดขัดเลย เพราะระบบอัจฉริยะช่วยจัดการให้รถไหลลื่น หรือการที่เราสามารถเช็คข้อมูลคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ก่อนออกจากบ้าน เพื่อตัดสินใจว่าจะต้องใส่หน้ากากอนามัยหรือไม่ สิ่งเหล่านี้คือความสะดวกสบายที่เราได้รับจากเมืองอัจฉริยะครับ หรือแม้กระทั่งการที่ระบบขนส่งสาธารณะเชื่อมโยงกันอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เราเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องเสียเวลาต่อรถหลายต่อ หรือรอรถนานๆ ผมเองรู้สึกประหยัดเวลาไปได้เยอะมาก ทำให้มีเวลาไปทำอย่างอื่นที่ชอบได้มากขึ้น มันไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นการนำเทคโนโลยีมาทำให้ชีวิตของเราง่ายขึ้นและมีคุณภาพดีขึ้นจริงๆ

2. โอกาสใหม่ๆ ในการทำงานและการสร้างสรรค์

เมื่อเมืองเต็มไปด้วยเทคโนโลยีและข้อมูล โอกาสใหม่ๆ ก็ผุดขึ้นมามากมายครับ สำหรับคนรุ่นใหม่อย่างพวกเรา การที่เมืองเป็น Smart City หมายถึงแหล่งรวมของนวัตกรรมและโอกาสในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจ Startup ด้านเทคโนโลยี การพัฒนาแอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์ปัญหาของเมือง หรือแม้กระทั่งการทำงานในสายอาชีพที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลและ AI ผมเห็นเพื่อนๆ หลายคนผันตัวไปทำงานในบริษัทเทคโนโลยีที่เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ และพวกเขาก็ดูมีความสุขกับสิ่งที่ทำมาก เพราะมันคือการได้สร้างสรรค์สิ่งที่มีคุณค่าและส่งผลดีต่อสังคมอย่างแท้จริง นอกจากนี้ การเข้าถึงข้อมูลสาธารณะที่มากขึ้นยังเป็นแรงบันดาลใจให้นักพัฒนาสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของเมืองได้อย่างตรงจุดอีกด้วยครับ

อนาคตของเมืองไทย: ก้าวต่อไปที่น่าจับตา

หลังจากได้เห็นภาพรวมของเมืองอัจฉริยะในประเทศไทยแล้ว ผมเชื่อว่าหลายคนคงรู้สึกตื่นเต้นกับอนาคตของเราใช่ไหมครับ? การเดินทางยังอีกยาวไกล แต่ผมมองเห็นสัญญาณที่ดีและศักยภาพอันมหาศาลที่เรามีอยู่ การจะทำให้เมืองอัจฉริยะเกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์และยั่งยืนนั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ใช่แค่ภาครัฐ แต่รวมถึงภาคเอกชน ประชาชน และสถาบันการศึกษาด้วยครับ สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้และปรับตัวอยู่เสมอ เพราะเทคโนโลยีและโลกของเราเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก

1. การพัฒนาบุคลากรและพลเมืองดิจิทัล

หัวใจสำคัญของเมืองอัจฉริยะในอนาคตคือ ‘คน’ ครับ การที่เรามีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีแค่ไหน แต่ถ้าคนในเมืองไม่พร้อมที่จะใช้หรือไม่เข้าใจเทคโนโลยี มันก็ไม่เกิดประโยชน์เต็มที่ ผมเชื่อว่าการลงทุนในการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลให้กับคนทุกช่วงวัย ตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้สูงอายุ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างเต็มศักยภาพ นอกจากนี้ การสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาเมืองก็สำคัญไม่แพ้กันครับ ผมอยากเห็นเมืองที่ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อน ไม่ใช่แค่ผู้รับบริการ แต่เป็นผู้สร้างสรรค์และผู้ร่วมกำหนดทิศทางของเมืองไปด้วยกัน

2. การขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งอนาคต

โลกเทคโนโลยีไม่เคยหยุดนิ่งครับ วันนี้เราพูดถึง IoT, Big Data, และ AI แต่อีกไม่นาน อาจจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามาพลิกโฉมเมืองของเราอีกครั้ง ผมมองว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมในภูมิภาคนี้ เรามีนักพัฒนาและผู้ประกอบการที่มีความสามารถมากมาย การสนับสนุนให้เกิดการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ปัญหาของเมืองไทยโดยเฉพาะ จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความได้เปรียบ และทำให้เมืองอัจฉริยะของเราไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ผมตื่นเต้นที่จะได้เห็นว่าในอนาคตอันใกล้นี้ จะมีเทคโนโลยีอะไรใหม่ๆ เข้ามาช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเราให้ดียิ่งขึ้นไปอีกครับ สิ่งเหล่านี้จะเป็นแรงผลักดันให้เมืองของเราก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่ออนาคตที่สดใสและยั่งยืนสำหรับทุกคน

บทสรุป

การเดินทางสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะของประเทศไทยนั้นเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและเต็มไปด้วยศักยภาพอันยิ่งใหญ่ครับ จากที่ผมได้สัมผัสด้วยตัวเอง ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่ความฝัน แต่กำลังกลายเป็นความจริงที่จับต้องได้ในชีวิตประจำวันของเรา มันคือการลงทุนเพื่ออนาคตที่ดีกว่า ไม่ใช่แค่ในแง่ของเทคโนโลยี แต่เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดีขึ้นในทุกมิติ ทั้งความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และโอกาสใหม่ๆ ในการใช้ชีวิตและการทำงาน

แน่นอนว่าหนทางยังอีกยาวไกลและมีอุปสรรคให้ก้าวข้าม แต่ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และที่สำคัญที่สุดคือพวกเราทุกคนในฐานะพลเมือง ผมเชื่อมั่นว่าเมืองไทยจะสามารถก้าวสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะที่สมบูรณ์แบบและยั่งยืนได้อย่างแน่นอนครับ เตรียมตัวให้พร้อม เพราะอนาคตของเมืองอัจฉริยะกำลังจะมาถึงแล้ว!

ข้อมูลน่ารู้เพิ่มเติม

1. หากคุณสนใจข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับนโยบายและแผนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในประเทศไทย สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) หรือสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ได้เลยครับ มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์และอัปเดตอยู่เสมอ

2. การมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ หากคุณมีข้อเสนอแนะหรือความคิดเห็น อย่าลังเลที่จะแสดงออกผ่านช่องทางต่างๆ ที่ภาครัฐจัดเตรียมไว้ หรือเข้าร่วมกิจกรรม/โครงการที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน

3. เทคโนโลยี IoT (Internet of Things) และ Big Data เป็นกุญแจสำคัญที่ขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะ ลองสังเกตสิ่งรอบตัวคุณดูสิครับว่ามีอุปกรณ์หรือบริการใดบ้างที่ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ในการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น

4. เมืองอัจฉริยะไม่ได้จำกัดอยู่แค่กรุงเทพฯ เท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายเมืองทั่วประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น ระยอง และ EEC ลองค้นหาข้อมูลและเยี่ยมชมเมืองเหล่านี้เพื่อสัมผัสประสบการณ์เมืองอัจฉริยะด้วยตัวคุณเอง

5. การสร้างเมืองอัจฉริยะที่ยั่งยืนจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อม ลองเริ่มจากตัวเราเองในการใช้พลังงานอย่างประหยัดและรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเมืองที่น่าอยู่สำหรับทุกคนในระยะยาว

ประเด็นสำคัญที่ต้องจำ

เมืองอัจฉริยะในประเทศไทยขับเคลื่อนด้วยวิสัยทัศน์ Thailand 4.0 โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ทันสมัย การบริหารจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เป็นเสาหลักสำคัญ เทคโนโลยี IoT และ Big Data ช่วยพลิกโฉมการใช้ชีวิตในเมืองให้สะดวกสบาย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้จะมีความท้าทายด้านการบูรณาการข้อมูลและการลงทุน แต่ด้วยความร่วมมือและการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะก้าวสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะที่สมบูรณ์แบบและเป็นต้นแบบในภูมิภาคได้

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) 📖

ถาม: ในฐานะคนที่ใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ ผมอยากรู้ว่า ‘เมืองอัจฉริยะ’ ที่เรากำลังพูดถึงกันเนี่ย มันหมายถึงอะไรกันแน่ครับ แล้วมันจับต้องได้จริงแค่ไหนในชีวิตประจำวันของคนไทย?

ตอบ: โอ้โห! เป็นคำถามที่โดนใจมากเลยครับ เพราะผมเองก็สงสัยเหมือนกันตอนแรกๆ แต่พอได้สัมผัสด้วยตัวเอง ก็พอจะเข้าใจนะว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยีล้ำๆ อย่างเดียว แต่มันคือการเอาเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) ข้อมูลใหญ่ๆ (Big Data) หรือแม้กระทั่ง AI เข้ามาช่วย “แก้ปัญหา” ที่เราคนเมืองต้องเจอในชีวิตประจำวันนี่แหละครับ ลองนึกภาพดูสิครับ จากที่เราเคยต้องติดแหง็กอยู่บนถนน รถติดยาวเหยียด แต่ตอนนี้เรามีแอปฯ ที่ช่วยบอกเส้นทางแบบเรียลไทม์ หรือสัญญาณไฟจราจรที่ปรับเองตามความหนาแน่นของรถได้ หรือเรื่องง่ายๆ อย่างการหาที่จอดรถที่เมื่อก่อนต้องวนแล้ววนอีก เดี๋ยวนี้ก็มีระบบบอกได้ว่าที่ไหนว่าง ตรงไหนเต็ม นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนเลยว่ามันจับต้องได้จริงนะ แถมยังช่วยให้ชีวิตเราสะดวกสบายขึ้นเยอะ เหมือนมีผู้ช่วยที่มองไม่เห็นคอยจัดการให้เมืองมันไหลลื่นขึ้นครับ

ถาม: การที่ประเทศไทยมุ่งสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะแบบนี้ มันมีผลต่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมของเรายังไงบ้างครับ? แล้วเราในฐานะประชาชนจะได้ประโยชน์อะไรเป็นรูปธรรมบ้าง?

ตอบ: จากประสบการณ์ตรงที่ผมสัมผัสได้เลยนะครับ ผมว่ามันส่งผลต่อคุณภาพชีวิตเราอย่างเห็นได้ชัดเจนเลยนะ ยกตัวอย่างเรื่องฝุ่น PM2.5 ที่เมื่อก่อนเราก็ได้แต่บ่น แต่ตอนนี้เมืองอัจฉริยะเขาเริ่มมีการติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ ทำให้เราได้รับข้อมูลที่แม่นยำและรวดเร็วขึ้น แถมภาครัฐก็สามารถนำข้อมูลตรงนี้ไปวางแผนรับมือได้ดีขึ้นด้วย หรือเรื่องสิ่งแวดล้อมอื่นๆ อย่างการจัดการขยะที่ดีขึ้น การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การสร้างพื้นที่สีเขียวที่เข้าถึงง่ายขึ้น สิ่งเหล่านี้คือผลพวงของการคิดแบบเมืองอัจฉริยะทั้งนั้นครับส่วนประโยชน์ที่เราจะได้ในฐานะประชาชนเนี่ย มีหลายมิติเลยนะ อย่างแรกเลยคือ “ความสะดวกสบาย” ครับ ตั้งแต่การเดินทางที่คล่องตัวขึ้น ระบบขนส่งสาธารณะที่เชื่อมโยงกันมากขึ้น การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ของภาครัฐง่ายขึ้น ไม่ต้องไปต่อคิวเป็นชั่วโมงที่สำนักงานเขตแล้ว บางอย่างทำออนไลน์ได้เลยครับ ถัดมาคือ “ความปลอดภัย” ครับ กล้องวงจรปิดอัจฉริยะที่เชื่อมโยงกันทั้งเมือง ระบบแจ้งเหตุฉุกเฉินที่รวดเร็วขึ้น ทำให้เรารู้สึกอุ่นใจขึ้นเวลาใช้ชีวิตในเมือง และที่สำคัญคือ “สุขภาพที่ดีขึ้น” จากการที่เรามีข้อมูลและระบบที่ช่วยดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราให้ดีขึ้นครับ ผมว่ามันไม่ใช่แค่อนาคตที่ไกลตัว แต่มันคือปัจจุบันที่เรากำลังใช้ชีวิตอยู่ และมันกำลังพัฒนาไปเรื่อยๆ ครับ

ถาม: ฟังดูดีมากเลยครับ แต่ในมุมมองของคนใช้งานจริงแบบเราๆ คิดว่าการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในไทย มีความท้าทายหรืออุปสรรคอะไรบ้างไหมครับ แล้วภาครัฐ หรือผู้เกี่ยวข้อง เขากำลังจัดการกับเรื่องพวกนี้ยังไง?

ตอบ: แน่นอนครับ! อะไรที่มันดีๆ ก็ย่อมมีความท้าทายแฝงอยู่เสมอครับ จากที่ผมสังเกตนะ อุปสรรคใหญ่ๆ ที่เห็นก็มีหลายเรื่องเลย อย่างแรกเลยคือ “เรื่องข้อมูลส่วนตัว” ครับ ในเมื่อทุกอย่างถูกเชื่อมโยงด้วยข้อมูล แล้วข้อมูลส่วนตัวของเราจะปลอดภัยแค่ไหน?
ใครจะเข้าถึงได้บ้าง? อันนี้คือคำถามที่คนทั่วไปอย่างเราๆ กังวลมากเลยครับ ผมเชื่อว่าภาครัฐเองก็ตระหนักเรื่องนี้นะครับ ถึงได้มีการผลักดันกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ออกมาใช้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน และต้องมีการลงทุนเรื่องระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่งด้วยอีกเรื่องคือ “ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล” ครับ ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าถึงเทคโนโลยีได้เท่ากัน คนแก่ คนที่รายได้น้อย หรือคนที่อยู่ห่างไกล อาจจะไม่ได้ประโยชน์จากเมืองอัจฉริยะเต็มที่เท่าคนในเมืองใหญ่ หรือคนที่มีกำลังซื้ออุปกรณ์ไฮเทค ซึ่งตรงนี้ภาครัฐต้องคิดหนักเลยว่าจะทำยังไงให้ทุกคนเข้าถึงได้เท่าเทียมกัน อาจจะต้องมีโครงการสอนการใช้งาน หรือมีโครงสร้างพื้นฐานที่ทั่วถึงครับสุดท้ายคือ “การลงทุน” ครับ การจะสร้างเมืองอัจฉริยะมันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยนะ ต้องใช้งบประมาณมหาศาล ทั้งเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และการบำรุงรักษาในระยะยาว ซึ่งตรงนี้ภาครัฐเองก็พยายามหาทางระดมทุน และผลักดันให้เกิดการร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน หรือที่เรียกว่า PPP (Public-Private Partnership) เพื่อให้การพัฒนาเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่องครับ ผมว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจ และการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนจริงๆ ครับ ถึงจะทำให้เมืองอัจฉริยะของเรายั่งยืนได้.

📚 อ้างอิง